มะเร็งสู้ได้ | เมื่อหนีไม่พ้นก็ต้องเดินหน้าสู้ กับ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เรื่องราวของ คุณนฤทัย พิริยะเกียรติสกุล

: 269

: 12-May-23


มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เรื่องราวของ คุณนฤทัย พิริยะเกียรติสกุล

   

เพราะคิดว่า “มะเร็ง” เป็นเรื่องไกลตัว ทำให้ใครหลายคนมองข้ามสัญญาณเตือนจากร่างกาย เช่นเดียวกับ สาวคนนี้ คุณนฤทัย พิริยะเกียรติสกุล เธอไม่เคยแม้แต่จะสนใจสัญญาณอันตรายนี้ จนวันหนึ่งโรคร้ายมาเยือน

        ก้อนเล็กกลมอะไรไม่รู้ อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่บริเวณข้างขวาของลำคอ ไม่เจ็บไม่ปวดแต่แลดูจะใหญ่โตขึ้นทุกวัน นั่นคือสัญญาณเตือนหนึ่งจากโรคร้ายที่หนูไม่เคยแม้แต่จะสนใจมันเลย จนกระทั่งวันนึงมันคงอดรนทนไม่ไหวส่งสัญญาณสำคัญมาอีกหลายสัญญาณ เริ่มจากการที่มีก้อนเล็กๆ นั่นปรากฏขึ้นมาแล้ว หนูก็มีอาการหอบง่าย เหนื่อยง่ายบ่อยๆ แต่นั่นก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นคนที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และช่วงนั้นปากก็ชอบแห้งกรอบ ลอกออกมาได้เป็นแผ่นๆ น่ากลัวมาก ถึงแม้จะทาลิปมันมากเท่าไหร่ก็ไม่หาย หลังจากนั้นก็เริ่มหายใจผิดปกติมันติดขัดไม่สะดวก เริ่มจุกและแน่นหน้าอกอยู่บ่อยๆ  แอบตั้งข้อสงสัยในใจเล็กๆ ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ยังพยายามหาเหตุผลมาอ้างว่าเป็นเพราะเรานอนดึกทุกวัน อาจจะเครียดกับการบ้าน ต่างๆ นานา จนอาการล่าสุดที่เห็นได้ชัดเลย คือ ตัวเราเริ่มคัน คันมากถึงมากที่สุด คันทั้งตัว คันแล้วก็เกา ยิ่งเกาก็ยิ่งเป็นแผล ไม่ว่าจะเกาแรงหรือเบา ก็เกิดแผลขึ้นง่ายมาก ช้ำเป็นจ้ำๆ แทบจะทั้งตัว พอมาถึงตอนนี้ก็เลยเริ่มกลัว ทั้งกลัวทั้งสงสัย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ จึงตัดสินใจบอกพ่อแม่ แต่ยังคิดเล่นๆ ว่า “อาจแค่โรคผิวหนัง” มะเร็งน่าจะเป็นเรื่องไกลตัว เพราะที่บ้านก็ไม่มีใครเป็น

ผลตรวจออกมาแล้ว หนูเป็นมะเร็ง

     ตอนแรกที่ได้ยินก็อึ้ง สมองตื้อทำอะไรไม่ถูก ทำได้แค่เพียงยิ้ม เพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วง บอกแม่ว่าหนูไม่เป็นไร ดูจากสีหน้าแม่ในตอนนั้นความรู้สึกของแม่คงตกใจไม่ต่างไปจากหนูเช่นกัน พอกลับบ้าน ทุกคนต่างตกใจ ไม่มีใครเชื่อนึกว่าแม่ล้อเล่น ไม่มีใครร้องไห้เสียใจกับโรคร้ายของหนูเลย ทุกคนในบ้านยิ้มและบอกเพียงประโยคเดียว  “ ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวก็หาย ” และให้หนูรีบเข้านอน

       หลังจากที่มั่นใจว่าตัวเองเป็นมะเร็งแน่แล้วชีวิตก็วุ่นวายมากขึ้น  ช่วงนี้เข้า – ออกโรงพยาบาลตลอดทุกวัน หมอมั่นใจที่จะสรุประยะในการเป็นแล้วค่ะ หนูเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง “ระยะที่สอง” ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ใช่ระยะที่สาม ต่อให้เป็นระยะที่สาม ก็ขอบคุณที่ไม่ให้หนูเป็นระยะที่สี่ แต่ต่อให้หนูเป็นระยะที่สี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตายเสมอไป ยังไงก็หายได้ ถ้าเช่นนั้นคงต้องขอบคุณที่ทำให้หาย หนูพยายามที่จะมองโลกบวกมากขึ้น มากขึ้น

เราก็คุยกับหมอ ถึงวิธีการรักษาและดูแลตัวเองอย่างถูกต้องสิ่งที่หมอบอกมีดังนี้ :
- นอนโรงพยาบาลเป็นเวลา 5-6 วัน เพื่อทำการคีโม
- ต้องรับยา 4-5 ตัวต่อวัน
- ยาที่ใช้จะเริ่มจากตัวยาที่แรงที่สุด เพื่อให้ได้ผลตอบ สนองดีที่สุด
- ต้องได้รับยาประมาณ 4 ไซเคิล หมายถึง 8 โดส หรือ พูดง่ายๆ 16 เข็ม

     บ้าไปแล้ว! เราสองแม่ลูก รีบบอกหมอพร้อมกันเป็นเสียงเดียวว่า “ขอเวลาทำใจก่อนนะคะ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะติดต่อไปทันที” จริง ๆ แล้ว แม่ไม่อยากให้หนูรับยาเคมีบำบัดเพราะไม่ว่าใครต่างก็ยืนยันถึงผลข้างเคียงของมันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทรมาน” แต่สุดท้าย หนูก็หนีไม่พ้น

ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ

     ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ หมอขอโทษที่ไม่บอกล่วงหน้า แต่หมอบอกว่าพอกลับไปดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ ควบคู่กับผลCT-SCAN ก็ตกใจมาก ก้อนเนื้อมันมีขนาดใหญ่จนน่ากลัว ขนาดของมันประมาน 7x10x11 cm. หมอบอกว่าถ้ายิ่งปล่อยไว้นานไม่รีบทำการรักษา มันก็จะยิ่งเจริญเติบโตได้ไวขึ้นใหญ่ขึ้นกว่านี้อย่างรวดเร็วเป็นแน่

เราเลยกลับมาคุยเรื่องการรักษาอีกครั้งอย่างเป็นทางการ โดยแนวทางการรักษาของหมอท่านนี้มีดังนี้

- ไม่มีความจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
- ให้ยาครั้งละ 4 ตัว โดยเว้นระยะห่างสองอาทิตย์ให้ยาที
- เริ่มจากยาที่เบาที่สุดก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มระดับ หากยาไม่มีผลใดๆต่อเซลล์มะเร็ง
- โดทการให้ยา คือ 4 โดทเช่นเดียวกับหมอท่านก่อน

     ขณะนั้นอายุเพียง 18 ปี ต้องรักษาโดยใช้วิธีเคมีบำบัดประมาณ 16 เข็ม เริ่มจากยาที่เบาถ้าไม่ได้ผลก็ค่อยๆ เพิ่มระดับ จบแล้วต้องต่อด้วยฉายรังสีอีก 29 ครั้ง แค่ฟังหมออธิบายก็กลัว แม่ก็ลังเลกับวิธีนี้ จึงวิ่งวุ่นปรึกษาหมอหลายที่ ไม่อยากเห็นแม่วิ่งวุ่นทุกวัน แม้จะไม่อยากทำเพราะกลัวว่าจะทรมาน แต่คงหนีไม่พ้น จึงเปลี่ยนความคิด “ถ้าหนีไม่พ้นเราก็แค่หันหน้าสู้กับมันให้ชนะก็สิ้นเรื่อง” ทุกคนที่รู้ข่าวต่างมาให้กำลังใจ แนะนำยาบำรุงต่างๆ รวมทั้ง ยาน้ำสมุนไพรจีน ให้ใช้ควบคู่กับการรักษา

     คีโมครั้งแรกทำให้ความอยากอาหารลดลงมาก น้ำหนักลง 5 กิโลอย่างฉับพลัน!อาเจียน ท้องเสีย อาเจียน ท้องเสีย สลับกันจนเหนื่อย เหนื่อยมาก ง่วงมาก แต่นอนไม่ได้ อาการเริ่มหนักขึ้น อาเจียนบ่อยขึ้นถี่ขึ้น จนเริ่มไม่มีแรง

     ช่วงแรกที่ให้ยาคนรอบข้างต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด หนูเริ่มเกรงใจและสงสารทุกคนมาก คนที่ลำบากมากที่สุดเห็นจะเป็น คุณแม่ ซึ่งปกติเป็นคุณแม่ที่ทำงานยุ่งตลอดเวลา

    แต่ช่วงที่หนูป่วยแม่ดูแลหนูทุกอย่าง ทำแม้กระทั่งอาบน้ำให้ โกนผมให้ด้วยความเกร็งกลัวหนูจะได้แผล แม่ยังบอกให้ทุกคนเข้มแข็ง ไม่ใช่แค่หนูคนเดียว แต่ต้องเข้มแข็งทั้งบ้านหนูคิดว่าตัวเองโชคดีที่มีคนรอบข้างดี มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้กำลังใจในการอยู่ก็เลยดีไปด้วย จากที่หนูเป็นวัยรุ่นดื้อ ๆ คนหนึ่ง ที่คิดว่าไม่มีใครรัก แต่การป่วยครั้งนี้ทำให้ความคิดหนูเปลี่ยนไปมาก รอบตัวมีแต่คนรักเรา

     หลังจากผ่านครั้งแรก แต่การผ่านคีโมในครั้งต่อไปก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ผลข้างเคียงที่เคยทราบหนูเป็นเกือบทั้งหมด มากบ้างน้อยบ้าง แต่เชื่อมั้ยในที่สุดหนูก็ผ่านมันมาได้ นอกจากที่ต้องให้คนอื่นดูแลแล้ว หนูก็พยายามช่วยเหลือตัวเองทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น เริ่มหาอะไรทำ อะไรเล่น หลีกเลี่ยงจะอยู่คนเดียว เลี่ยงที่จะคิดเองเออเอง เดี๋ยวจิตตก ร่างกายก็จะทรุดโทรมไปด้วย จนในที่สุดหนูก็ได้รับผลตอบแทนความพยายามของหนูและครอบครัว คือ เคมีบำบัดตอบสนองดี แม้ยังต้องต่อด้วยฉายรังสี แต่หนูก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว หนูดีใจที่ทุกอย่างมันลงตัว

ก็แค่เป็นมะเร็ง

    มะเร็งตอบสนองรวดเร็วมาก จำได้ว่าก่อนหน้าที่จะคีโม มันมีขนาดใหญ่โตมาก ประมาน 7x10x11cm.ได้ แต่พอมาตอนนี้ดีใจมากๆ ก้อนมันเล็กลงเหลือเพียง 3x5x6 cm เท่านั้น ! ทั้งแม่ หนูและหมอต่างดีใจกันถ้วนหน้ากับการตอบสนองที่ดีเกินคาด ก้อนเล็กลงครึ่งต่อครึ่ง เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมาก

การให้คีโมจบไปแล้ว และสิ่งต่อไปที่ต้องเจอ คือ การฉายแสงบำบัด ซึ่งจำนวนการฉายแสงทั้งหมดที่ต้องได้รับ คือ ยี่สิบเก้าครั้ง ทำการฉายแสงวันละประมาณ10-15นาที ทุกๆวัน เว้นวันเสาร์ – อาทิตย์

ในขณะที่ทำการฉายแสง ครั้งแรกเลยก็รู้สึกกลัวและประหม่ามาก สงสัยว่าจะเจ็บกว่าการให้คีโมไหม จะมีผลข้างเคียงแย่พอๆกับการให้คีโมหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ได้รู้ ว่ามันดีกว่าการให้เคมีบำบัดเยอะมาก ไม่เจ็บ ไม่ทรมาน ไม่มีการอ้วก หรือคลื่นไส้อีกต่อไปแล้ว จะมีบ้างก็แค่อาการเพลียและเหนื่อยแค่นั้นเอง

     เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ทุกคนในบ้านต่างช่วยกันนับถอยหลังกันยกใหญ่ จนในที่สุดทุกๆอย่างก็สิ้นสุด การให้เคมีบำบัดและฉายแสงได้สิ้นสุดลงแล้ว มะเร็งที่เคยอยู่เดียวกันมาแสนนานเป็นเพื่อนกับหนูมาแสนนานก็หายไปพร้อมกับเคมีบำบัดและการฉายแสงด้วยเช่นกัน

ยอมรักษาเพราะคุณแม่

     ในตอนนั้นพูดตรงๆ ว่า ไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวความเจ็บปวดมากกว่า คิดว่ายอมตายดีกว่ายอมเจ็บ ตอนแรกไม่อยากเข้ารับการรักษาด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะว่าคุณแม่ ทุกครั้งที่เราท้อเราจะหันกลับไปมองเห็นคนที่ทุ่มเทเพื่อเรา นั่นก็คือคุณแม่ เริ่มตั้งแต่เห็นแม่ที่ยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตจริงๆ ทั้งเวลา หน้าที่การงาน เพื่อมาดูแลเรา เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คุณแม่ทำทุกอย่างตั้งแต่หาความรู้เกี่ยวกับมะเร็งซึ่งไม่เคยรู้ด้านนี้มาก่อน หาว่าหมอคนไหนเก่งที่สุด รักษาวิธีไหนดีที่สุด ทำยังไงลูกฉันต้องหาย นอกจากนั้น ยังมีคุณพ่อ ป้า น้า อา อาม่า อากง โดยอาม่าจะดูแลเรื่องอาหาร ต้องกินอะไรที่จะส่งผลดี แรกๆ พี่น้องในบ้านยังโอเค หลังๆ ก็บ่นเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าจำเจ อันนี้อีกแล้วเหรอ จืดไปมั้ย แต่สุดท้ายก็ยอมกินอาหารพวกนั้น เพราะพวกเขาเข้าใจว่าอิ๋มก็ป่วยแล้ว คงไม่ได้อยากสร้างปัญหา หรือสร้างความลำบากให้พี่น้องเหมือนกัน

มะเร็งเปลี่ยนอะไรในชีวิต

     ก่อนหน้าที่จะเป็นมะเร็ง เราเป็นคนเอาแต่ใจ คิดว่าไม่มีใครรัก แต่หลังที่เป็นมะเร็ง ช่วงเวลาที่ผ่านไปใน 1 ปีนั้น เราได้เห็นถึงความห่วงใย ความรัก การแสดงออกของแต่ละคน ที่แสดงออกว่าเขารักเราจริงๆ มันทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้ว เรามีคนรักเรามากมายขนาดนี้ ทำไมเราไม่เคยมองเห็นเขา ทำให้เรากลับมาใส่ใจความรู้สึกของคนที่บ้าน เราหันกลับมามองว่าที่ผ่านมามันเป็นความผิดใคร มันผิดที่ตัวเราเอง เรามองไม่เห็นความรักที่เขาให้เรามาตลอด 17 ปี ที่ผ่านมาเอง เราตั้งใจว่าหลังจากที่หายแล้ว จะกลับมาใส่ใจ เชื่อฟัง เปลี่ยนมุมมองของเด็กในตอนนั้น ให้เป็นอีกด้านหนึ่ง

ทุกการเปลี่ยนแปลงมันมีเรื่องดีเสมอ

     ผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง สิ่งแรกที่กลัว คือ กลัวตาย แต่ความตายคือ ธรรมชาติ เป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นเราอย่าเพิ่งไปกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด เราไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าการรักษาเป็นอย่างไร เราไม่เคยเคมีบำบัด มีแต่คนพูดว่ามันเจ็บปวด แต่แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายเราก็ต้องทำ เราก็ต้องผ่านมันไป ไม่มีอะไรยากเกินความอดทนของเราไปได้ ขอแค่เราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะผ่านมันไป

ทุกการเปลี่ยนแปลงมันมีเรื่องดีเสมอ การเป็นมะเร็งสามารถให้อะไรหลายอย่างมากกว่าความเจ็บปวด มันสามารถเปลี่ยนชีวิตอิ๋มได้เลย

Tip 1.
       “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” อาการที่พบบ่อย คือ ต่อมน้ำเหลืองโตไม่เจ็บ เช่น คลำก้อนได้ที่คอ ที่ขาหนีบ หรือในร่องเหนือกระดูกไหปลาร้า อาการทั่วไปที่พบคือ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และผอมลง เหงื่อแตกตอนกลางคืน มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ คันตามตัว ปวดหลังเนื่องจากต่อมน้ำเหลืองหลังช่องท้องโต ปวดกระดูกจากมะเร็งทำลายกระดูก ปวดท้องจากอาการตับโตหรือม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องโต หรือไตบวมจากต่อมน้ำเหลืองข้างท่อไตโตกดท่อไต ปวดประสาทจากมะเร็งกดไขสันหลังกดเส้นประสาท

Tip 2.
       หลักการรักษาด้วยยาจีน มุ่งฆ่าทำลายสิ่งที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังเชื้อโรค ซึ่งก็คือต้นเหตุ(รากเหง้า)ของการเกิดโรค ตำรับยาสมุนไพรจีน มียาจีนบางชนิดออกฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยมะเร็งแล้ว ไม่เพียงแต่ต้านมะเร็งอย่างเดียว ยังต้องคำนึงถึงสภาพโดยรวมทั่วร่างกาย ต้องเสริมปรับอวัยวะที่อ่อนแอในร่างกายไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ม้าม กระเพาะอาหาร ต้องกระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเลือด ขับร้อนถอนพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น ซึ่งใน ยาจีน มีตัวยาที่มีบทบาทดังกล่าวด้วย

 

 


ปรึกษาผลิตภัณฑ์ ยาเทียนเซียน
ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

กรุณากรอกแบบฟอร์ม เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

โทร 02-264-2217 02-264-2218 02-264-2219

Copyright © 2020 บริษัท เฟยดา จำกัด. All rights reserved.

"